
เบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่และได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นงานสังสรรค์ที่บ้าน ร้านอาหาร หรือแม้แต่เทศกาลสำคัญต่างๆ เบียร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนทั่วโลก ด้วยรสชาติที่หลากหลายและกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่าง ทำให้เกิดประเภทของเบียร์มากมายตามความชอบของแต่ละพื้นที่ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเบียร์หรือกำลังเริ่มต้นทำความรู้จักเครื่องดื่มชนิดนี้ Oceantableware จะพาคุณไปรู้จักประเภทของเบียร์ต่างๆ ให้มากขึ้น รวมถึงสิ่งที่คอเบียร์หน้าใหม่อาจไม่เคยรู้อย่างการดื่มเบียร์ที่ถูกต้อง รวมถึงวิธีเลือกแก้วเบียร์และกับการจับคู่กับอาหารให้อร่อยเข้ากัน
ประเภทของเบียร์มีอะไรบ้าง?
หากจะตอบว่าเบียร์ มีกี่ประเภท ก็ต้องบอกว่าหลากหลายมากๆ เนื่องจากเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และในแต่ละท้องถิ่นเอง ก็มีวัตถุดิบและวิธีการการทำที่แตกต่างกันไป แต่แม้มีหลากหลายชนิด เบียร์ส่วนใหญ่ ก็ยังสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ ตามกระบวนการหมัก ได้แก่ เอล (Ale) และลาเกอร์ (Lager) ซึ่งทั้งสองประเภทดังกล่าวมีจุดเด่นและมีชนิดย่อยต่างๆ ดังนี้:
1. เบียร์เอล (Ale)
เบียร์ประเภทนี้ใช้ยีสต์ชนิดที่หมักในอุณหภูมิสูง ประมาณ 20 องศาเซลเซียส โดยส่วนมากจะมีสีเข้ม รสเข้มข้นกว่าลาเกอร์ (Lager) และมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงกว่าชนิดย่อยเบียร์เอล (Ale) ที่เป็นที่รู้จัก เช่น
- เพลเอล (Pale Ale): เป็นเบียร์ที่หมักด้วยมอลต์สีอ่อน มีรสชาติกลมกล่อม
- IPA (India Pale Ale): เป็นชนิดย่อยของ Pale Ale อีกที มีรสขมของฮอปส์ที่โดดเด่น และกลิ่นผลไม้เล็กน้อย
- สเตาท์ (Stout): เบียร์สีดำเข้ม รสชาติหนักแน่น มีกลิ่นช็อกโกแลตหรือกาแฟ แคลอรีค่อนข้างสูง
- วีทเบียร์ (Wheat Beer): ทำจากข้าวสาลีเป็นหลัก รสไม่ค่อยขม ทานง่าย แคลอรีค่อนข้างสูง
2. เบียร์ลาเกอร์ (Lager)
ลาเกอร์ (Lager) เป็นเบียร์ที่ใช้ยีสต์ชนิดที่หมักในอุณหภูมิต่ำ ประมาณ 10 องศาเซลเซียส ทำให้ได้เบียร์ที่มีความใส สีอ่อน รสชาติเบา สดชื่น และมีความซ่า เหมาะสำหรับดื่มในทุกโอกาส ชนิดของลาเกอร์ที่พบบ่อย ได้แก่:
- พิลส์เนอร์ (Pilsner): เบียร์สีทองอ่อน รสชาติอ่อน หวานน้อย
- ไลท์เบียร์ (Light Style Beer): มีแอลกอฮอล์น้อย มีแคลอรีน้อย ทานง่าย เหมาะกันคนที่ควบคุมน้ำหนัก
- บ็อค (Bock): เป็นเบียร์สีน้ำตาลเข้ม รสชาติเข้มกว่าลาเกอร์ทั่วไป
เบียร์ประเภทพิเศษอื่น ๆ ที่ควรรู้จัก
นอกเหนือจากเบียร์เอลและลาเกอร์แล้ว คอเบียร์ยังอาจเคยได้ยินเหล่าเบียร์ประเภทอื่นๆ หรือประเภทพิเศษที่น่าสนใจ อาทิ:
- แลมบิค (Lambic): เป็นเบียร์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเบลเยียม และมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่เหมือนใคร โดยใช้กระบวนการหมักด้วยยีสต์ธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ ซึ่งทำให้ได้เบียร์ที่มีรสเปรี้ยวที่โดดเด่น
- เซซอง (Saison): หรือ ฟาร์มเฮาท์เอล (Farmhouse Ale) มีต้นกำเนิดจากแคว้นวอลโลเนีย (Wallonia) ในเบลเยียม ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ดื่มดับกระหายของคนงาน โดยมีจุดเด่นคือกลิ่นหอมของเครื่องเทศ สมุนไพร และผลไม้ รวมถึงรสชาติที่สดชื่นและซับซ้อน
- บาร์เลย์ไวน์ (Barleywine): เป็นเบียร์ที่มีความเข้มข้นและหนักแน่นจนรสชาติใกล้เคียงกับไวน์ แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับไวน์ผลไม้เลยก็ตาม เบียร์ประเภทนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง มีสีเหลืองทองไปจนถึงน้ำตาล และมีรสหวานเข้ม สัมผัสเหนียวหนืด
เคล็ดลับการจับคู่เบียร์กับอาหาร
เบียร์สามารถจับคู่กับอาหารได้หลากหลายเมนู โดยการเลือกจับคู่ที่เหมาะสมจะช่วยเสริมรสชาติทั้งอาหารและเครื่องดื่มให้อร่อยมากขึ้น เช่น:
- เบียร์ลาเกอร์ กับอาหารมันๆ เช่น เบอร์เกอร์ ใส้กรอก
- เบียร์ Stout กับขนมหวาน เช่น บราวนี่หรือขนมอบ
- เบียร์ IPA กับอาหารมัน ของย่าง เช่น เนื้อปิ้งย่างหรือเบอร์เกอร์
มือใหม่ควรเริ่มดื่มเบียร์อะไรดี?
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นลองดื่มเบียร์ ควรเริ่มจากเบียร์ที่มีรสชาติเรียบง่าย อย่างเช่นลาเกอร์ หรือวีทเบียร์ เพราะมีรสชาติที่เบาและดื่มง่าย จากนั้นจึงค่อยๆ ทดลองเอลหรือ IPA ที่เข้มขึ้นเพื่อค้นหาประเภทของเบียร์ที่ตรงกับความชอบหรืออยากค้นหาความพิเศษและเอกลักษณ์ของเบียร์ที่รู้สึกสนใจ
วิธีการดื่มเบียร์ที่ถูกต้อง
แม้ว่าเบียร์จะดูเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มง่าย ไม่มีพิธีรีตองจริงจัง แต่การดื่มเบียร์อย่างถูกต้องสามารถช่วยดึงสัมผัสกับรสชาติและความพิเศษของเบียร์แก้วนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ดังนี้:
1. เลือกแก้วเบียร์ที่เหมาะสม
การเลือกแก้วเบียร์ที่เหมาะกับประเภทของเบียร์นั้นมีผลต่อรสชาติและกลิ่นของเบียร์ เพราะแก้วแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อเสริมความพิเศษของเบียร์แต่ละชนิด ตัวอย่างเช่น:
- แก้วพิลส์เนอร์ (Pilsner): มีทรงสูงและแคบ ทรงแก้วสูงจะช่วงดันฟองเบียร์ขึ้น พร้อมกับดึงกลิ่นหอมให้ชัดขึ้น เหมาะสำหรับเบียร์พิลส์เนอร์และเบียร์ลาเกอร์อื่นๆ ที่มีรสอ่อน
- แก้วทรงทิวลิป (Tulip pint): มีส่วนบนโค้งมนที่ช่วยรักษาฟองเบียร์ให้นานขึ้น และส่วนล่างที่แคบลงให้จับง่าย เหมาะสำหรับเบียร์ที่มีรสเข้มข้น เช่น เอล สเตาท์ และ IPA
- แก้วมัก (Mug): เป็นแก้วทรงหนาและมีด้ามจับ เหมาะกับเบียร์ลาเกอร์
- หากไม่มีแก้วเฉพาะ ก็สามารถใช้แก้วไวน์หรือแก้วเหล้าในการดื่มเบียร์แทนได้เช่นกัน แต่ควรเลือกแก้วที่ช่วยกักเก็บฟองและกลิ่นของเบียร์
2. รินเบียร์อย่างถูกวิธี
วิธีการรินเบียร์ก็สำคัญเช่นกัน เพราะการรินที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดฟองมากเกินไปหรือทำให้รสชาติเปลี่ยน วิธีที่แนะนำคือ:
2.1 ถือแก้วเอียงประมาณ 45 องศา: ให้เบียร์ไหลลงด้านข้างของแก้ว ลดการกระแทกที่ทำให้เกิดฟองมากเกินไป
2.2 รินเบียร์ช้า ๆ : เมื่อเบียร์เริ่มเติมได้ประมาณครึ่งแก้ว ค่อยๆ ปรับให้แก้วตั้งตรงเพื่อสร้างฟองในระดับที่เหมาะสม
2.3 ปริมาณฟองที่สมดุล: ฟองเบียร์ในแก้วควรหนาประมาณ 1-2 เซนติเมตร เพื่อช่วยกักเก็บกลิ่นหอมของเบียร์และเพิ่มความนุ่มขณะดื่ม
3. ดื่มในอุณหภูมิที่เหมาะสม
เบียร์แต่ละชนิดมีอุณหภูมิที่เหมาะสมในการดื่มที่แตกต่างกัน เพื่อดึงรสชาติและกลิ่นออกมาได้ดีที่สุด การดื่มในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เบียร์เสียรสชาติและจุดเด่นบางอย่างไป ตัวอย่างของอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับเบียร์แต่ละประเภท ได้แก่:
- ลาเกอร์และพิลส์เนอร์: ควรดื่มในอุณหภูมิเย็นจัด (3 - 7 องศาเซลเซียส โดยประมาณ) เพื่อเพิ่มความสดชื่น
- สเตาท์: ควรดื่มในอุณหภูมิที่เย็นเล็กน้อย (7-12 องศาเซลเซียส โดยประมาณ) เพื่อให้รสชาติหนักแน่นและกลิ่นหอมเด่นชัด
- IPA: ควรดื่มในอุณหภูมิที่เย็น (7-10 องศาเซลเซียส โดยประมาณ) เพื่อให้รสชาติของฮอปส์และเครื่องเทศในเบียร์ออกมาอย่างเต็มที่
4. สังเกตหรือใช้เวลากับเบียร์ก่อนดื่ม
นอกจากขั้นตอนการรินและอุณหภูมิแล้ว การใช้เวลาดูสีและฟองเบียร์ รวมถึงการดมกลิ่นก่อนจิบจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ดื่มได้อย่างเต็มที่ ทั้งการสัมผัสกับกลิ่นหอมจากฮอปส์ มอลต์ หรือผลไม้จะช่วยให้ผู้ดื่มได้มีโอกาสดื่มด่ำกับความซับซ้อนและเข้าใจความพิเศษของเบียร์ชนิดต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
สรุป
เบียร์ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีเสน่ห์และมีความหลากหลาย แต่ละประเภทของเบียร์ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเลือกดื่มเบียร์ให้เหมาะสมกับโอกาส หรือการใช้แก้วเบียร์ที่ถูกต้องยังสามารถช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการดื่มได้ดีและดึงดูดจุดเด่นของเบียร์ให้เด่นชัดขึ้น
เลือกซื้อแก้วเบียร์หลากหลายประเภทจาก Oceantableware
Oceantableware คือ ผู้จัดจำหน่ายชุดแก้ว แก้วเบียร์ แก้วเหล้า แก้วไวน์และอุปกรณ์ครัวอื่นๆ ที่ได้มาตรฐาน จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาส เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง รวมถึงบริษัทและองค์กรต่าง ๆ จากประสบการณ์กว่า 38 ปี เรามุ่งเน้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารสู่ความทันสมัยอย่างมีสไตล์ ตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาของความสุข ช่วยสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำ โอเชียนกลาสจึงเป็นผู้นำการจัดจำหน่ายมีด และเครื่องครัวอื่นๆ ของเอเชียและส่งออกไปมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
สอบถามเกี่ยวกับเซตของขวัญได้ที่:
LINE: @oceanonline
โทร.: 062-390-0075
อีเมล: CS@oceanglass.com