ให้การดื่มไวน์เลิศรสขึ้นผ่านการดื่มด่ำประวัติศาสตร์แก้วไวน์

กว่าจะมาเป็นแก้วไวน์ใส รูปร่างสวยงามเป็นเอกลักษณ์อย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั้น แก้วไวน์ก็มีวิวัฒนาการของตัวเองเช่นกัน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักแก้วไวน์ให้มากขึ้นเพื่อประสบการณ์การดื่มที่น่าประทับใจกว่าเดิม

ก่อนจะมาเป็นแก้วไวน์รูปทรงที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน

ก่อนจะเรียนรู้ประวัติแก้วไวน์คงต้องมาทำความรู้จักเหล้าองุ่นซึ่งเป็นต้นกำเนิดแรกเริ่มของไวน์กันโดยสังเขปก่อน เหล้าองุ่นเป็นเครื่องดื่มที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นหมื่นปีแล้ว โดยเกิดจากการคั้นน้ำจากองุ่นซึ่งเป็นผลผลิตจากสังคมเกษตรกรรมสมัยโบราณและมนุษย์เรียนรู้ที่จะหมักน้ำองุ่นจนกลายเป็นเครื่องดื่มที่เรียกว่าเหล้าองุ่นหรือไวน์ ซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มที่สำคัญในทุกอารยธรรมของโลกมาแต่โบราณ เหล้าองุ่นหรือไวน์ยังเป็นเครื่องดื่มสำคัญที่ถูกกล่าวถึงทั้งในศาสนายูดาห์และในคริสต์ศาสนาและในวัฒนธรรมอื่นๆ ทั่วโลกในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน  ดังนั้นลักษณะภาชนะในการบรรจุเครื่องดื่มดังกล่าวจึงมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจ ก่อนจะมาเป็นแก้วทรงสวยที่เราคุ้นตากัน แก้วไวน์มีรูปทรงแปลกตามาก่อน ทั้งยังทำจากวัสดุที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกระบอกใส่เหล้าองุ่นที่ทำจากเขาสัตว์ ภาชนะที่ทำจากไม้ หรือไหที่ทำจากโลหะและสำริด ก็มีการพบหลักฐานภาชนะที่ใช้ใส่เหล้าองุ่นมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณเป็นต้นมา

 

 

แล้วแก้วไวน์ที่เราคุ้นเคยกันมันมีที่มาอย่างไร? 

พัฒนาการการเป็นแก้วรูปทรงแบบที่เราคุ้นเคยกันหรือที่รู้จักกันในกลุ่มภาชนะแบบ Stemware ที่เป็นลักษณะของแก้วที่มีรูปทรงเหมือนต้นไม้มีลำต้นตั้งอยู่เหนือฐานคล้ายลักษณะของต้นปาล์มหรืออินทผลัม ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นกระเปาะแก้ว (สำหรับบรรจุไวน์) ก้านแก้ว (เสมือนด้ามจับ)  และฐานแก้ว ลักษณะดังกล่าวนี้จากหลักฐานที่ค้นพบเชื่อว่าถูกพัฒนาขึ้นในสมัยจักรวรรดิโรมัน 

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการของแก้วไวน์อีกข้อหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการรูปแบบของแก้วไวน์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนั่นคือ

1.การออกแบบตามหลักการดู-ดม-ดื่ม (Sight Smell and Taste) โดยเป็นหลักการสำคัญในวัฒนธรรมการดื่มไวน์เพื่อทำให้คุณได้สัมผัสเอกลักษณ์ของไวน์ได้อย่างครบถ้วนตลอดการดื่ม การวนแก้วเป็นวงกลมแล้วดมไวน์ในแก้วก่อนดื่มเข้าไปนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อความเท่ แต่เรียกได้ว่าเป็นหลักและวิธีการดื่มไวน์เพื่อให้ได้ประสบการณ์การดื่มที่ครบทุกมิติ

เริ่มจากหลักการดู (Sight) ทำให้การทำแก้วไวน์ให้ใสนั้นเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่ง ไวน์นั้นมีสีสันรวมถึงความข้นจางของไวน์แตกต่างกันในแต่ละชนิด แก้วไวน์ยิ่งใสยิ่งบางก็ส่งผลต่อคุณภาพและการมองเห็นไวน์ในแก้วอีกด้วย 

หลักการดม (Smell) กลิ่นก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่สำคัญของไวน์แต่ละชนิดที่ทำให้เพลิดเพลินไปกับการดื่มไวน์ได้มากขึ้น อุณหภูมินั้นส่งผลอย่างมากต่อการรับรู้กลิ่นและรสของไวน์ การออกแบบปากแก้วหรือส่วนกระเปาะแก้วให้มีขนาดพอดีจะส่งผลต่อการเก็บรักษากลิ่นและการระเหยของแอลกอฮอล์ในไวน์ ซึ่งมีผลต่อรสชาติของไวน์อย่างแน่นอน

หลักการดื่มและรับรสชาติ (Taste) มีงานวิจัยหลายงานมากที่สนับสนุนว่าขนาดของแก้วไวน์มีผลต่อรสชาติ การออกแบบภาชนะเพื่อให้สิ่งที่อยู่ในภาชนะสัมผัสกับอากาศมากน้อย ส่งผลต่อการปรับลดของสารบางอย่างในไวน์ จึงทำให้การรับรสชาติแต่ละรสชาติหนักเบาต่างกัน ทำให้รสชาติไวน์เปลี่ยนแปลงได้  ดังนั้นการออกแบบแก้วไวน์ในปัจจุบันที่มีเทคนิคและวิทยาการเพิ่มขึ้นมากจึงมุ่งเน้นให้ผู้ดื่มสามารถสัมผัสรสชาติและกลิ่นหอมของไวน์ได้อย่างเต็มที่ เพราะเป็นองค์ประกอบทางสุนทรียะที่สำคัญในวัฒนธรรมการดื่มไวน์

นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจัยประวัติศาสตร์ด้านวิทยาการความก้าวหน้าของมนุษย์ส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการของแก้วไวน์อย่างแยกขาดจากกันไม่ได้ โดยแยกออกเป็น 2 ข้อหลักๆ ดังนี้

  • ปัจจัยเรื่องความก้าวหน้าทางด้านสังคม อุตสาหกรรม และเทคโนโลยี 

เทคโนโลยีการผลิตที่พัฒนาขึ้น รวมถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมอุตสาหกรรมนั้นส่งผลต่อรูปแบบของแก้วไวน์ นอกจากนี้ลักษณะความนิยมในสังคมนั้นๆ ก็มีส่วนสำคัญต่อปริมาณการบริโภคไวน์ในแต่ละยุคที่ต่างกัน  จึงทำให้ทั้งการออกแบบและความจุในแต่ละยุคต่างออกไปเช่นกัน เช่น แก้วไวน์ขนาดเล็กที่นิยมใช้ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 สามารถจุไวน์ได้เพียง 70 มิลลิลิตร ซึ่งทำให้ปริมาณการดื่มไวน์น้อยมากในยุคนั้น แต่ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นช่วงที่ยุโรปเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยมีประเทศอังกฤษเป็นศูนย์กลางนั้น ได้เริ่มมีอุตสาหกรรมการผลิตแก้วไวน์ขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยเทคโนโลยีเรื่องแม่พิมพ์ที่พัฒนาขึ้น ทำให้สามารถผลิตได้ในปริมาณที่มากขึ้น และวัสดุที่ใช้ในการผลิตที่หาได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้แก้วไวน์มีขนาดใหญ่ขึ้นและราคาถูกลง 

แม้ว่าแต่เดิมส่วนที่เป็นก้านของแก้วไวน์จะมีความหนากว่ารูปแบบปัจจุบันค่อนข้างมาก ความนิยมการทำก้านให้ขนาดเล็กเป็นผลมาจากเรื่องภาษีเครื่องแก้ว หากแก้วยิ่งมีขนาดเล็กน้ำหนักเบาก็ยิ่งเสียภาษีน้อยลง แต่เมื่อผ่านช่วงที่ยกเลิกการเก็บภาษีเครื่องแก้วไปแล้วก็ยังคงใช้รูปแบบก้านเล็กเช่นเดิม เพราะเชื่อว่าก้านแก้วขนาดเล็กจะไม่ส่งผลต่ออุณหภูมิของไวน์แม้ใช้มือจับ เป็นต้น จะเห็นว่านอกจากวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีแล้วก็ยังมีวิทยาการการวิจัยและวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาแก้วไวน์อีกด้วย 

  • ปัจจัยเชิงพาณิชย์และความต้องการของตลาด 

มาในยุคหลังศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ความต้องการการบริโภคไวน์มีจำนวนมาก ร้านอาหารที่เสิร์ฟไวน์มีมากขึ้นและทุนนิยมส่งผลต่อการบริโภคไวน์มากขึ้น แก้วไวน์จึงมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้จุไวน์ได้มาก ดื่มได้มากขึ้นและขายไวน์ได้มากขึ้นตามมา   

ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นเสน่ห์ของพัฒนาการอีกแบบที่ทำให้เราเข้าใจวัฒนธรรมการดื่มไวน์มากขึ้น และแน่นอนว่าแก้วไวน์สวยๆ ที่เราถืออยู่นี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียวแต่ส่งผลต่อคุณภาพการดื่มไวน์อีกด้วย

 

 

แก้วไวน์แดง แก้วไวน์ขาว เหมือนกันหรือไม่?

แก้วประเภท Stemware ที่เรารู้จักกันนั้น มีรูปร่างคล้ายกันก็จริง แต่มีความเหมาะสมในการใส่เครื่องดื่มแต่ละชนิดต่างกัน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักตระกูลแก้วไวน์ที่หลากหลายกันเป็นหลัก ดังนี้

แก้วที่เหมาะกับไวน์แดง

 

 

แก้วไวน์แดงส่วนใหญ่เป็นแก้วกระเปาะค่อนข้างกลม ปากแก้วกว้างเพื่อให้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับเครื่องดื่มในแก้วได้มาก เช่น แก้วเบอร์กันดี (Burgundy) ส่วนแก้วที่มีขนาดกระเปาะเรียวขึ้นมากกว่าเหมาะกับการใส่ไวน์แดงต่างชนิดกันไป เช่น แก้วบอร์โดซ์ (Bordeaux) แก้วคาเบอร์เนต์ (Cabernet) เป็นต้น

 

 

แก้วที่เหมาะกับไวน์ขาว 

แก้วไวน์ขาวมีลักษณะเด่นคือกระเปาะไม่กว้างเท่ากับแก้วไวน์แดง ส่วนมากเป็นแก้วรูปตัว U เพราะไม่ได้เน้นความสำคัญของการเกิดปฏิกิริยา Oxidation กับอากาศมากเท่าไวน์แดง โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือแก้วแบบโซวิญอง บลองค์ (Sauvignon Blanc) กระเปาะแก้วทรงเรียวยาว ปากไม่ค่อยกว้างที่นิยมใช้ในการดื่มไวน์ขาวอย่างแพร่หลายและแก้วแบบชาร์โดเนย์ (Chardonnay) กระเปาะกลมกว่าและปากกว้างกว่าแบบแรก

 

 

แก้วที่เหมาะกับแชมเปญหรือสปาร์คกลิ้งไวน์

ลักษณะกระเปาะทรงสูงเพรียว ก้านยาวเป็นพิเศษนั้นเหมาะกับการดื่มแชมเปญและสปาร์คกลิ้งไวน์โดยดื่มแบบแช่เย็น เพราะปากแก้วแคบนั้นสามารถกักเก็บความเย็นและความซ่าของเครื่องดื่มไว้ได้มากกว่า แบ่งเป็น 3 แบบ คือ แก้วแบบฟลุท (Flute Champagne Glass) แก้วทรงเพรียวสูง ปากแคบที่เราคุ้นตากันดี และะแก้วแบบทิวลิป (Tulip Champagne Glass) โดยมีรูปทรงคล้ายแบบฟลุทแต่ปากแก้วงุ้มเข้ามาทำให้ขอบแก้วแคบรูปร่างคล้ายดอกทิวลิป และแก้วแบบซอสเซอร์ (Champagne Saucer Glass) นิยมนำมาตั้งวางเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ และเมื่อเทสปาร์คกลิ้งไวน์ลงมาบนแก้วใบบนสุด น้ำสีเหลืองทองนั้น ก็จะไหลลงมายังแก้วชั้นอื่นๆ มักใช้ใส่สปาร์คกลิ้งไวน์มากกว่าแชมเปญ เพราะปากแก้วกว้างพิเศษและกระเปาะเตี้ยจะทำให้ฟองของแชมเปญหายไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เลือกแก้วที่จะทำให้ไวน์ที่คุณโปรดปรานยิ่งหอมหวาน ได้รสสัมผัสที่ล้ำลึกยิ่งขึ้น

Oceantableware ขอแนะนำแก้วไวน์ที่ทำให้รสชาติไวน์ที่คุณโปรดปรานยิ่งอร่อยล้ำลึกมากขึ้น ด้วยดีไซน์เรียบหรูแบบสากล วัสดุที่ทนทานสวยงามอย่างคริสตัลที่ให้ความใสบริสุทธิ์ เนื้อสัมผัสเรียบเนียน คุณภาพระดับเวิลด์คลาส ปราศจากสารตะกั่วและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการออกแบบที่สวยงาม เพิ่มลูกเล่นที่ช่วยให้คุณดื่มด่ำกับไวน์เลิศรสได้อย่างมีสุนทรียะ ทั้งยังมีแก้วไวน์แบบสเปรย์สีใ้ห้คุณสนุกกับการดื่มไวน์มากขึ้นด้วยแก้วไวน์สีสวยแปลกตา เหมาะทั้งการให้เป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ หรือใช้เสิร์ฟไวน์หลากชนิดในงานเลี้ยงฉลองและดินเนอร์หรู สามารถเลือกซื้อและสะสมแก้วไวน์ที่เหมาะสำหรับดื่มไวน์หลากหลายชนิดที่คุณชื่นชอบได้ทาง Oceantableware 

Oceantableware เป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องแก้วในภูมิภาคเอเชีย ด้วยความเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องแก้วที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาส เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง รวมถึงบริษัทและองค์กรต่างๆ จากความชำนาญด้านการผลิตและการออกแบบที่เป็นเลิศกว่า 38 ปี เรามุ่งเน้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์การกินดื่มสู่ความทันสมัยอย่างมีสไตล์ ตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาของความสุข ช่วยสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำ โอเชียนกลาสจึงเป็นผู้ผลิตเครื่องแก้วชั้นนำของเอเชียและส่งออกไปมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก

สอบถามเกี่ยวกับแก้วเครื่องดื่มทุกรูปแบบให้กับบ้าน ธุรกิจ และองค์กรของคุณได้ที่ www.oceantableware.com