เคล็ด (ไม่) ลับการดื่มไวน์ให้อร่อยขึ้น เสริมรสชาติไวน์ด้วยการเลือกแก้วไวน์ที่ใช่

แก้วไวน์ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการดื่มไวน์ เนื่องจากไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีความละเอียดลออในรสชาติ ปัจจัยเล็กๆ อย่างเช่น อุณหภูมิภายนอก หรือความชื้น อาจส่งผลให้รสชาติของไวน์ผิดเพี้ยนไปได้ ไวน์ที่ถูกบ่มมาอย่างดี ดูแลในอุณหภูมิที่เหมาะสม ย่อมต้องการแก้วที่ช่วยกักเก็บรสชาติที่แท้จริง และนำเสนอตัวตนของไวน์นั้นให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

แก้วไวน์แต่ละชนิด มีรูปทรงที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับไวน์แต่ละประเภท แต่โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 

  1. ปากแก้ว (Rim) 
  2. ตัวแก้ว (Bowl) 
  3. ก้านแก้ว (Stem) 
  4. ฐานแก้ว (Base/Foot) 

แต่ละส่วนล้วนถูกออกแบบเพื่อให้การดื่มไวน์เกิดสุนทรียภาพสูงสุด เริ่มจากปากแก้ว มีขอบที่บาง ช่วยให้เกิดสัมผัสที่นุ่มนวลยามจรดริมฝีปากลงขอบแก้ว บวกกับลักษณะที่โค้งมนของปากแก้ว ยังช่วยกระจายสัมผัสของไวน์ให้ทั่วทั้งช่องปาก ตัวแก้วมีลักษณะใส สามารถเห็นสีของไวน์ได้อย่างชัดเจน ส่วนขนาดของตัวแก้วนั้นจะแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด เพื่อให้เหมาะสมกับไวน์แต่ละประเภทมากที่สุด ต่อมาคือก้านแก้ว เป็นก้านไว้สำหรับจับถือ เพื่อไม่ให้อุณหภูมิร่างกายของผู้ถือไปสัมผัสกับตัวแก้วโดยตรง ซึ่งการสัมผัสโดยตรงจะทำให้อุณหภูมิและรสชาติของไวน์เพี้ยนไปจากเดิม ส่วนสุดท้ายคือฐานแก้วออกแบบมาเพื่อให้สามารถวางบนพื้นผิวต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคง

มาเลือกแก้วไวน์กันเถอะ!

ปัจจุบันไวน์มีมากมายหลากหลายชนิด และแต่ละคนก็มีรสนิยมความชอบแตกต่างกัน การเลือกแก้วให้เหมาะสมกับชนิดของไวน์ที่เราชอบ ย่อมเพิ่มพูนความเพลิดเพลิน และช่วยเสริมรสชาติแก่ไวน์แก้วโปรดของคุณได้

 

แก้วไวน์แดง (Red Wine Glass)

เริ่มกันที่ ไวน์แดงแบบฟูลบอดี้ คือไวน์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 13.5% ขึ้นไป เนื้อสัมผัสของไวน์จะมีความเข้มข้นและแน่น มีแทนนิน (Tannin) หรือรสชาติฝาดสูง เหมาะกับแก้วไวน์แดงสวยๆ อย่างทรงบอร์โดซ์หรือเบอร์กันดี

แก้วบอร์โดซ์ หรือ บอร์กโดซ์ (Bordeaux) เป็นแก้วไวน์ที่ตัวแก้วมีรูปทรงสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาแก้วไวน์ทั้งหมด ตัวแก้วจึงมีช่องว่างระหว่างก้นแก้วจนถึงปากแก้วจำนวนมาก ช่องว่างนี้จะช่วยให้ไวน์มีพื้นที่ในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ให้แอลกอฮอล์เข้มข้นสามารถระเหยออกให้ไวน์คลายตัว และช่วยให้สารแทนนินในไวน์อ่อนลง จึงสามารถดึงกลิ่นและรสชาติของไวน์ออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนั้นทรงที่สูงของแก้วประเภทนี้ ยังทำให้ระยะห่างระหว่างปลายจมูกกับตัวไวน์มีมากขึ้น ช่วยให้กลิ่นแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นไม่ทำลายกลิ่นของไวน์ไปจนหมด

สำหรับคนที่ชอบไวน์แดง ที่มีเนื้อสัมผัสที่เบาลงมา ตั้งแต่ระดับมีเดียมบอดี้ (Medium Body / Medium-bodied) ไปจนถึงไลท์บอดี้ (Full Body / Full-bodied) หรือไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกว่า 13.5% มีรสชาติฝาดน้อยลง มีกลิ่นหอมขึ้นและรสชาติที่กลมกลืนมากขึ้น ขอแนะนำแก้วทรงเบอร์กันดี

แก้วเบอร์กันดี (Burgundy) แก้วไวน์ทรงคล้ายบอลลูน รูปทรงดูป้อมสั้นกว่าแก้วประเภทอื่น ลักษณะเด่นคือบริเวณตัวแก้ว ช่วงกลางจนถึงก้นแก้วจะกว้าง บริเวณปากแก้วแคบลง ลักษณะเช่นนี้จะช่วยดักจับกลิ่นให้อวลอยู่ภายในตัวกระเปาะแก้ว รูปทรงที่สั้นกว่าแก้วไวน์ชนิดอื่น ช่วยร่นระยะระหว่างจมูกและไวน์ เพื่อเพิ่มสัมผัสการรับรู้กลิ่นให้คุณได้ดื่มด่ำกับไวน์อย่างเต็มที่

 

แก้วไวน์ขาว (White Wine Glass)

ไวน์ขาวส่วนใหญ่เป็นไลท์บอดี้ไวน์ คือมีสัมผัสเบา สดชื่น มีความเป็นกรดสูงกว่าไวน์แดง บางครั้งมักมีรสเปรี้ยวเด่น แก้วไวน์ขาวจึงออกแบบมาให้มีขนาดเล็กกว่าไวน์แดง แต่จะไม่กว้างเท่าแก้วเบอร์กันดีและไม่สูงเท่าแก้วบอร์โดซ์ เนื่องจากไม่ต้องการพื้นที่สำหรับปฏิกิริยาออกซิเดชัน พื้นที่สัมผัสอากาศที่น้อยลงช่วยรักษาอุณหภูมิของไวน์ไว้ได้นานขึ้น ทั้งยังช่วยให้กลิ่นของไวน์กระจายตัวได้ดี และปากแก้วที่แคบก็ช่วยรักษากลิ่นของมันเอาไว้ภายในแก้วอีกด้วย