แก้วก้าน

130 รายการ

รายการ 7-12 จาก 130

ต่อหน้า
หน้า
  • ตำแหน่ง
  • ชื่อ
  • ราคา
  • วันที่
  • แบรนด์
ตั้งค่าตามลำดับมากไปน้อย
130 รายการ

รายการ 7-12 จาก 130

ต่อหน้า
หน้า
  • ตำแหน่ง
  • ชื่อ
  • ราคา
  • วันที่
  • แบรนด์
ตั้งค่าตามลำดับมากไปน้อย

การเลือกใช้แก้วไวน์ให้เหมาะสม

แก้วไวน์ เป็นปัจจัยสำคัญที่จำเป็นและส่งผลกับการดื่มไวน์อย่างที่สุด หลายคนจึงได้คิดค้นทฤษฎีเกี่ยวกับวิธีดื่มไวน์ขึ้นมามากมาย ทั้งยังเสาะหาเครื่องแก้วหรือแก้วไวน์ดีๆ ที่เหมาะกับการดื่มไวน์มาใช้ เพื่อให้สามารถดึงรสชาติแท้จริงของไวน์ออกมาได้มากที่สุด เพราะไวน์แต่ละชนิดผลิตด้วยองุ่นหลากหลายสายพันธุ์แตกต่างกันไป ทำให้มีรสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบอดี้, อโรม่า, รสสัมผัส หรือปฏิกิริยาออกซิเดชัน

องค์ประกอบของแก้วไวน์

 

แก้วไวน์ที่ดีนั้นจะต้องใสเพื่อให้เห็นสีของไวน์ได้อย่างชัดเจน เพื่อช่วยให้การดื่มไวน์มีรสชาติที่ดีขึ้นนั่นเอง โดยแก้วไวน์นั้นมีรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ซึ่งแก้วไวน์แต่ละประเภทนั้นก็จะเอาไว้ใช้ในการรินไวน์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นมารู้เกี่ยวกับวิธีการเลือกใช้แก้วไวน์หรือแก้วไวน์สวยๆ ที่เหมาะสมกับไวน์แต่ละชนิดกัน ก่อนอื่นต้องคำนึงถึงส่วนประกอบของแก้วไวน์ ดังนี้

- ขอบแก้ว ควรเป็นขอบที่บางเพื่อที่จะให้การดื่มไวน์นั้นไหลลื่นและที่สำคัญช่วยให้เกิดการสัมผัสที่อ่อนนุ่มเวลาที่ปากไปแตะกับขอบแก้ว

- ตัวแก้ว สำหรับส่วนนี้ถือเป็นตัวแบ่งประเภทของแก้วไวน์ โดยรูปร่างของแก้วไวน์แต่ละแบบ จะสร้างขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับไวน์แต่ละประเภทนั่นเอง โดยจุดสำคัญคือตัวแก้วต้องใส สามารถเห็นสีของไวน์ชัดเจน

- ก้านแก้ว เสาของแก้วที่เป็นช่วงให้ได้จับแก้ว เพื่อไม่ให้ความร้อนจากมือไปกระทบกับรสชาติของไวน์

- ฐานแก้ว เป็นฐานด้านล่างของแก้วที่เอาไว้วางกับพื้นผิวต่างๆ อาทิ โต๊ะ เคาน์เตอร์บาร์ โต๊ะ

 

แก้วไวน์แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร?


1. แก้วไวน์แดง (Red Wine Glass)

สำหรับแก้วไวน์แดง จะเป็นแก้วก้านที่มีลักษณะอ้วนและปากกว้าง เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาออกซิเดชันกับไวน์ในแก้ว ซึ่งจะส่งผลให้รสชาติและกลิ่นของไวน์แดงนุ่มละมุนขึ้นอย่างชัดเจน เพราะไวน์แดงโดยปกติจะมีรสชาติที่เข้มข้นและซับซ้อน

2. แก้วไวน์ขาว (White Wine Glass)

รูปทรงของแก้วไวน์ขาวจะสูงเพรียว ปากแก้วไม่กว้าง เพราะไม่ต้องการให้มีปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลต่อกลิ่นและรสชาติของไวน์ขาว และด้วยเหตุผลนี้เองที่จะทำให้อโรม่าออกมาตามแก้วไวน์ได้ดี และยังทำให้ไวน์รักษาความเย็นไว้ได้อีกด้วย

3. แก้วไวน์โรเซ่ (Rosé Wine Glass)

ไม่ต้องการให้มีปฏิกิริยาออกซิเดชันมากนัก เช่นเดียวกับแก้วไวน์ขาว ดังนั้นลักษณะของตัวแก้วจะไม่เป็นกระเปาะมากนัก ควรมีทรงสูงปากแก้วไม่กว้าง เพื่อรักษาความหอมละมุนของกลิ่นผลไม้และดอกไม้

4. แก้วสปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine Glass)

หรือแก้วแชมเปญ (Champagne Flutes) ให้เลือกแก้วที่มีรูปทรงยาวและปากแก้วแคบ เพราะรูปทรงแบบนี้จะช่วยลดการสัมผัสกับอากาศ พร้อมรักษาความซ่าของสปาร์คกลิ้งไวน์เอาไว้ให้นานที่สุดและก้านแก้วก็ควรจะมีความยาวที่พอเหมาะ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียรสชาติ ด้วยความร้อนจากมือผู้ดื่ม

5. แก้วสำหรับไวน์หวาน (Dessert Wine Glass)

โดยทั่วไปไวน์หวานจะเป็นไวน์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง จึงควรเสิร์ฟในแก้วที่มีขนาดเล็ก โดยแก้วไวน์หวานมีหลายทรง ขึ้นอยู่กับระดับความหวานและปริมาณแอลกอฮอล์ของไวน์ที่ดื่ม ยิ่งระดับแอลกอฮอล์สูงปากแก้วก็ควรยิ่งเล็กตามไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียรสชาติ